การที่เราจะเลือกใช้หลักการโหราศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นของสำนักใดก็ตาม เราควรเรียนรู้
หลักการ วิธีการ ความเป็นมาเป็นไปของหลักวิชาก่อน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจและมั่นใจ
ว่าวิธีการที่เราใช้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ การหาฤกษ์คลอดก็เช่นกัน
เป็นการนำเอาโหราศาสตร์ต่างๆมาใช้ เราจำเป็นต้องเข้าใจให้ดีเสียก่อน
บทความนี้อธิบายถึงทฤษฎี หลักการพื้นฐาน เชื่อว่าจะทำให้มุมมองเกี่ยวกับโหราศาสตร์
ของคุณเปลี่ยนไปในทางที่ควรจะเป็นมากขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจและคาดหวังได้
ในระดับที่ควรคาดหวัง ฤกษ์คลอดไม่ใช่เป็นทุกสิ่งดังที่กล่าวถึงปัจจัยความสำเร็จเอาไว้
ว่ามีถึงสามปัจจัยหลัก แล้วยังมีปัจจัยย่อยอีกมากมาย
เพียงแต่ว่าเราเลือกเท่าที่จะเลือกได้ คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกเวลาได้ครับ
ทฤษฎีของโหราศาสตร์และการนำมาใช้
ทฤษฎีแรงส่งจากดวงดาว
- เชื่อว่าดวงดาวมีแรงส่งทำให้มีผลเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตบนโลก
- ในทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่าดวงดาวทั้งหลายมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งออกมา
- และจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของวัตถุบนฟากฟ้า
- ระบบประสาทของมนุษย์จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้านั้น
- รังสีที่แผ่จากอวกาศมาสู่โลกเกิดจากดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ต่างๆมีผลต่อโครโมโซมของเซลล์
- ซึ่งเป็นตัวรับสัญญาณไฟฟ้าจักรวาล โดยนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าอันเป็นแรงลึกลับเรียกว่า ชีวิต
- และอธิบายได้ว่าเซลล์สมองทำหน้าที่เหมือนเสาอากาศในการรับสัญญาณที่แผ่มาจากดวงดาว
- ซึ่งเป็นไปตามหลักทฤษฎีควอนตัม
- สรรพสิ่งในโลกเป็นเพียงกลุ่มของอนุภาคหรือคลื่นมากมาย ต่อเชื่อมเรียงกันไปเสมือนเนื้อเดียวกันตลอดทั่วทั้งจักรวาล
- ซึ่งจะมีการปฏิสัมพันธ์กันได้เสมอ การเปลี่ยนแปลงอนุภาคหนึ่งย่อมมีผลต่ออีกอนุภาคหนึ่งได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลกันสักเพียงใด
ทฤษฎีองค์รวม Holistic
- อธิบายว่าทุกสิ่งในจักรวาลรวมกันเป็นระบบเดียว ภายในระบบใหญ่ มีระบบโครงสร้างย่อยๆ รูปแบบ
- และความเป็นไปสอดคล้องกับระบบใหญ่ โครงสร้างจักรวาลมีลักษณะคล้ายโครงสร้างอะตอม
- เรียกความสอดคล้องกันนี้ว่า ซิงโครนิซิตี้ (synchronicity)
- เหตุการณ์บังเอิญหลายครั้งเกิดอย่างมีความหมายสอดคล้องกันโดยไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน
- ภาพของแม่แบบ(archetype) ในฝันอาจเกิดขึ้นสอดคล้องกับเหตุภายนอก
- แม่แบบไม่ได้อยู่ในโลกของจิตเท่านั้นแต่อาจรุกข้ามเขตมาปรากฏในโลกภายนอกได้
- เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยเมื่อจิตสำนึกมีกำลังอ่อน และจิตใต้สำนึกมีกำลังกว่า
หลักการพยากรณ์ของโหราศาสตร์
- ความรู้ทางโหราศาสตร์เกิดจาก การสังเกตเทหวัตถุบนท้องฟ้าของคนโบราณ
- การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก เก็บเป็นสถิติจนเกิดเป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ (empirical knowledge)
- สิ่งที่โหราศาสตร์ศึกษาคือ
- ดาวเคราะห์ ความหมายของดาว การโคจรของดวงดาว
- จักรราศี ธาตุประจำราศี ความหมายของธาตุ อิทธิพลของสัญลักษณ์และความหมาย
- เรือนชะตา มุมสัมพันธ์
- การแปลความหมาย มีสองแนวทางคือเน้นเหตุการณ์ กับเน้นบุคคลเป็นศูนย์กลาง
- “ดวงชะตาเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่สามารถเจริญเติบโตตามศักยภาพของบุคคลนั้น
ซึ่งบุคคลอาจไม่ได้พัฒนาถึงจุดที่สูงสุดของศักยภาพก็ได้ ไม่มีดวงดี ร้าย ทุกปัจจัยในดวงชะตามีความสัมพันธ์กัน” - แบบเน้นเหตุการณ์ เชื่อว่ามนุษย์มีพรหมลิขิต
- ส่วนแบบเน้นบุคคลเป็นศูนย์กลางเชื่อว่ามนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือกจะทำ (freedom of will )
ดวงดาวบอกแนวโน้มเท่านั้นไม่ได้มีอำนาจกำหนด - โหราศาสตร์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพรหมลิขิต (fate) หรือโชคชะตา (luck) แต่เกี่ยวกับความน่าจะเป็น ความโน้มเอียงในการกระทำและศักยภาพ
- [ ดวงดาวทั้งหลายเพียงแค่แนวโน้ม ไม่ได้บังคับ, the stars impel,not compel ]
ประโยชน์ที่ได้จากโหราศาสตร์หลังนวยุค
- นักโหราศาสตร์ ในปัจจุบันต้องมีความรู้ด้านอื่นเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือในการอธิบาย
- วิชาปรัชญา สามารถอธิบายโหราศาสตร์แบบหลักปรัชญา
- วิชาจิตวิทยา อธิบายด้วยหลักพฤติกรรมมนุษย์ ถ้าทำแบบนี้ จะคิดอย่างไร มีปัญหาอะไร
- วิชาศาสนา อธิบายโหราศาสตร์ด้วยหลักกฎแห่งกรรม
- วิถีทางแห่งโลก 3 วิถีคือ
- วิถีวิริยานุภาพ – ชีวิตของคนเรานั้นเป็นไปได้ด้วยอำนาจแห่งความพยายาม
- วิถีแห่งกรรม – ชีวิตตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตราบใดที่มีตัวตนอยู่ใน่ชาติภพ ก็ย่อมหลีกหนีวิบากกรรมนี้ไม่พ้น
- วิถีแห่งโลกธรรม – ชีวิตเป็นไปตามกาลหมุนเวียนแห่งโลกธรรม ย่อมพบสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ
สรุปจากหนังสือคิดใหม่ โหราศาสตร์หลังนวยุค (กันยาวีร์ สัทธาพงษ์)